ไม่จบอยู่แค่นี้แน่ ๆ ครับ อย่างที่แจ้งไว้ในบทความที่แล้วว่าความสำเร็จของโครงการ OTOP Thai Touch: มิติสัมผัสตราสินค้าไทย ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการเสนอข่าวของโครงการของเราผ่านสถานีทีวีไทย (ThaiPBS) ในช่วงข่าวเที่ยงทีวีไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 (12.30 น.)
ครั้งนี้ทางผู้สื่อข่าวได้ให้ความสนใจสัมภาษณ์ ปอ-ปรเมศวร์ เศรษฐาภรณ์ ในการเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารตราสินค้าใหม่แก่ทองม้วนบางพูน และ ต่าย-กนกกาญจน์ บัญชาบุษบงษ์ ในการสร้างกลยุทธ์ใหม่การรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าดั้งเดิมให้กับรองเท้า Top Plate
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับชม เราอัพโหลดให้ท่านชมได้ที่นี่เลยครับ
08 เมษายน 2552
OTOP Thai Touch ในข่าวเที่ยงทีวีไทย ThaiPBS
ป้ายกำกับ:
ทีวีไทย,
ปทุมธานี,
ม.หอการค้าไทย,
IMC,
OTOP,
OTOP Thai Touch,
ThaiPBS,
UTCC
07 เมษายน 2552
ความสำเร็จของ OTOP Thai Touch ใน "รอบรั้ว มกค."
ไม่ใช่แค่การสื่อสารมวลชนภายนอกอย่างเดียวที่มีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารของ OTOP Thai Touch: มิติสัมผัสตราสินค้าไทย ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อเร็ว ๆ นี้นิตยสารภายในของมหาวิทยาลัย ก็ได้ให้ความสำคัญของโครงการนี้เช่นเดียวกันครับ ในวารสารรอบรั้ว มกค. ปีที่ 15 ฉบับที่ 161 เดือนมีนาคม 2552 ที่ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ถกล นันธิราภากร รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานในพิธี และนายเลอเกียรติ แก้วศรีจันทร์ ปลัดจังหวัดปทุมธานี ให้เกียรติเป็นผู้กล่าวเปิดงาน โดยมีคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้แทนจากผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ของแต่ละร้าน เข้าร่วมในพิธีเปิดกันอย่างพร้อมเพรียงกัน

ป้ายกำกับ:
ปทุมธานี,
ม.หอการค้าไทย,
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย,
โอทอป,
OTOP,
OTOP Thai Touch,
UTCC
06 เมษายน 2552
ภารกิจนิสิตพันธุ์ใหม่ ปั้น 7 โอท็อปสุดมหัศจรรย์
ได้เวลาเด็กไทยจะไม่เก่งแค่ในห้องเรียน และความเก่งจะไม่ถูกพิสูจน์เพียงการเขียนแผนธุรกิจสุดเจ๋งอีกต่อไป... แต่เด็กไทยพอศอนี้ ต้องสามารถจับเอาทฤษฎีในตำรา มาแก้ปัญหาในสนามธุรกิจจริงได้
เรากำลังพูดถึงโครงการ “7 Wonders OTOP Showcase” การผนึกกำลังครั้งสำคัญของนักศึกษาปริญญาโท สาขานิเทศศาสตร์การตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พลังสมองของเด็ก Gen Y ที่จะนำความรู้ด้านการสื่อสารการตลาดมาพัฒนาและยกระดับสินค้าชุมชน 7 ผลิตภัณฑ์ จาก 7 อำเภอ ของจังหวัดปทุมธานี ให้กลายเป็น “โอท็อปสายพันธุ์ใหม่” ซึ่งโดดเด่นในโลกธุรกิจ เปี่ยมศักยภาพพร้อมแข่งขันได้ โดยใช้พลังไอเดียนำหน้าเม็ดเงินในกระเป๋า
น้องๆ ใช้เวลาตลอด 2 เดือน คลุกคลีอยู่กับชุมชน สัมภาษณ์ พูดคุย ทำเวิร์คชอป วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ร่วมกับชาวบ้าน ตั้งคำถาม-ไขคำตอบ วิจัยตลาด ...สุดท้ายก็ได้ทางออกให้กับโอท็อปไทย
“นัท- ณัฐพงศ์ ศรีพลอยรุ่ง” และ “ปรเมศวร์ เศรษฐาภรณ์” ร่วมพลิกโฉมขนมทองม้วนโบราณ มาสร้างตำนานทองม้วนบางพูน “ที่ผ่านมาทองม้วน ไม่เคยมีระบุหลักแหล่งมาก่อนว่ามาจากไหน เราอยากทำให้เหมือนเวลานึกถึงขนมหม้อแกงก็ต้องเมืองเพชร จึงมาคิดทำให้มันเป็นขนมที่มีเรื่องราว มีที่มา เริ่มจากการเปลี่ยนชื่อยาวๆ อย่าง ทองม้วนรสเค็มสูตรโบราณ ของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาชีพสตรีบางพูน มาเป็น ทองม้วนบางพูนสั้นๆ เพื่อเปลี่ยนภาพของขนมโบราณให้ทันสมัยขึ้น และชัดเจนถึงที่มาว่าเป็นขนมของชาวบางพูน”
หลังเปลี่ยนชื่อและสร้างโปรดักท์สตอรี่ ก็ต้องดึงเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น น้องๆ บอกว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านมีการนำสมุนไพรในท้องถิ่นมาใส่ในทองม้วน แต่ไม่เคยนำจุดนี้มาขาย ทั้งที่มีความน่าสนใจ เพราะสามารถทำให้ขนมหวานกลายเป็นขนมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ พวกเขาจึงเสนอให้ทองม้วนทองพูนเพิ่มจุดแข็งในเรื่องนี้เอาไว้ด้วย
แต่เศรษฐกิจไม่ดี จะให้ลงทุนปรับโน่นเปลี่ยนนี่มากมายคงไม่ได้ การปรับเปลี่ยนที่ดีที่สุดและลงทุนน้อยที่สุด ก็แค่ให้เริ่มจากภายใน อย่างเรื่องของสัดส่วนและรูปลักษณ์ของขนม ที่สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป เพื่อสร้างขนมที่แตกต่าง ซึ่งไม่ต้องลงทุนมหาศาลเพียงแต่ปรับวิธีทำบางขั้นตอนเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนบางอย่าง นอกจากจะทำให้สินค้าชุมชนมีตลาดที่ใหญ่ขึ้น ยังเป็นการ "ลดต้นทุน" และ "เพิ่มกำไร" ได้ด้วย
"แก้ว - ศุจิมา แวววิริยะ" ตัวแทนกลุ่มกระยาสารท "อำนวย" ที่กำลังลบภาพขนมประเพณีอย่างกระยาสารท มาเป็นของกินเล่นขายได้ตลอดทั้งปี หลังจากลองนำขนมมาให้เพื่อนๆ ลองทานในห้อง และลงความเห็นว่า "ขนมอร่อย ทานแล้วอิ่มท้อง" น้องแก้วบอกเราว่า ผู้ประกอบการก็มีความคิดที่จะทำกระยาสารทให้เป็นสแน็ก จึงได้พัฒนาออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ และแพ็คลงกล่องลายไทย ในชื่อ อำนวยขนมไทย
มองอย่างไรก็ได้แค่ "ของฝาก" ซื้อขายไม่คล่อง ขณะที่ค่าแพ็คเกจจิ้งก็สูง "พอต้องทำให้มันเป็นสแน็ก พวกเราเลยเสนอให้แพ็คออกมาเป็นชิ้นขนาดพอดีคำในซองพลาสติก จากนั้นก็นำมารวมใส่ถุงใบใหญ่อีกที วิธีนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านแพ็คเกจจิ้งลดลง และสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น อย่างกล่องกระยาสารทเดิมเขาขายที่ 45 บาท ต้นทุนกล่องอยู่ที่ 5-6 บาท ใน 1 กล่อง อาจมี 20-30 ชิ้น แต่พอเรามาปรับให้ดูเป็นสแน็ก ต้นทุนลดลงครึ่งต่อครึ่ง คือถุงพลาสติกอยู่ที่ 2-3 บาท ส่วนจำนวนที่ขายจะลดลง อาจใส่ถุงละ 8-10 ชิ้น แต่ขายในราคา 25 บาท คือขายได้แพงขึ้น ทำกำไรได้มากขึ้น ที่สำคัญถุงพลาสติก คนจะรู้สึกว่า เข้าถึงง่าย เป็นขนมง่ายๆ วางขายที่ไหนก็ได้ไม่ใช่แค่ร้านของฝาก โดยเราเปลี่ยนชื่อจาก อำนวยขนมไทย มาเป็น “อำนวย” เฉยๆ ให้มีกิมมิคเล็กน้อย คือด้านหนึ่งอำนวยคือชื่อของผู้ผลิต และสอง อำนวย สื่อความหมายถึงความง่าย สะดวก ซึ่งตรงกับตำแหน่งสินค้าที่เราวางไว้ว่าอยากให้ขนมของเรากินง่ายและสะดวก ตามสโลแกน .. "อำนวย อร่อยง่าย ได้ทุกที่"
น้องๆ บอกว่า การลงไปพัฒนาสินค้าร่วมกับชาวบ้าน ไม่ใช่ไปบอกให้พวกเขาใช้เงิน เพราะถ้ามีเงินมากทุกคนก็ทำเองได้ และมีวิธีที่จะทำได้มากมาย แต่ชาวบ้านมีงบประมาณจำกัด จึงเป็นหน้าที่ของนิสิตในการดึงองค์ความรู้จากห้องเรียนมาคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ลงทุนให้น้อยที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์สูง และเงินที่ลงไปนั้นต้องส่งผลกับยอดขายทันทีด้วย เพราะทุกคนทำค้าขาย ไม่ต้องการอะไรที่เป็นแค่ภาพหรือความฝัน อย่างเช่นการปรับแพ็คเกจจิ้งเพื่อลดต้นทุน และเห็นกำไรที่กลับมาทันทีนั่นเอง
สิ่งที่น้องๆ คิดไม่มีอะไรซับซ้อน แต่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงของสินค้าชุมชนได้ กระทั่งเรื่องของการทำข้อมูลแนะนำสินค้า หรือออกแบบโบรชัวร์ให้เป็นภาษาต่างประเทศ
“อัง - อังกูร สวนมณฑา” เลือกโจทย์สบู่ไม้ไผ่สีดำมะเมื่อม มาทำให้ชัดเจนในเชิงตลาด ด้วยการหาวิธีสื่อสารคุณสมบัติสินค้า เพิ่มช่องทางที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และแก้ปัญหาเสียลูกค้าต่างชาติด้วยการจัดทำโบรชัวร์แนะนำสินค้าเป็นภาษาอินเตอร์ "จุดอ่อนที่ผ่านมาคือชาวบ้านยังไม่เข้าใจเรื่องการสื่อสารการตลาด ทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าไปใช้โดยที่ไม่รู้กระทั่งมันมีคุณสมบัติอย่างไร เราจึงสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้น โดยจัดทำเป็นคู่มือเล็กๆ คู่ไปกับสินค้า จากนั้นทำการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย
โดยการจัดทำบล็อกของสบู่ไม้ไผ่ "เว็บไซต์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างโอกาส และเข้าถึงกลุ่มคนรักสุขภาพได้ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์และหาข้อมูลจากเว็บไซต์อยู่แล้ว "ที่สำคัญประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงแนะนำให้ลงโฆษณาในเว็บกูเกิล ที่สามารถระบุประเทศที่โฆษณาจะไปปรากฏได้ด้วย" สิ่งที่เราคงไม่รู้ถ้าไม่ได้ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้าน คือที่ผ่านมาพวกเขาต้องสูญเสียลูกค้าต่างชาติเพียงเพราะสื่อสารภาษาเดียวกันไม่เป็น การแก้ปัญหาเรื่องนี้ง่ายกว่าที่คิด น้องๆ บอกว่า ก็แค่จัดทำโบรชัวร์เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษเพิ่มเข้ามา เวลาไปออกบูธเจอลูกค้าต่างบ้าน ก็สามารถแนะนำสินค้าผ่านสื่อภาษาเดียวกันได้
สิ่งที่น้องๆ พบจากการทำงานภาคสนาม คือความจริงที่ว่า สินค้าโอท็อป มีความสามารถในการผลิต สินค้ามีคุณภาพ มีภูมิปัญญา ชุมชนมีความจริงใจที่จะขายของดี แต่ที่ขาดคือความรู้เรื่องการตลาดล้วนๆ เหมือนที่ “ต่าย - กนกกาญจน์ บัญชาบุษบงษ์” จากกลุ่มรองเท้าหนังแท้หมู่บ้านไวท์เฮ้าส์บอกกับเรา
"พวกเขาเหมือนคนที่ถนัดทำครัวอยู่หลังบ้าน แต่ให้มาเปิดร้านเริ่มไม่เป็นแล้ว ไม่รู้จะบอกลูกค้าอย่างไรว่าสินค้านี้มันผ่านความยากลำบากมาขนาดไหน พวกเขาตั้งใจ หรือพิถีพิถันกับมันแค่ไหน พอขาดความรู้ตรงนี้ มันเหมือนไม่มีส่วนเติมเต็ม ยิ่งพอโอท็อปซบเซา รัฐบาลขาดการสนับสนุนต่อเนื่อง พวกเขาเริ่มรู้สึกว่ามันไปไม่ไหวแล้ว เหมือนไม่มีอนาคต สุดท้ายก็จะถอดใจและเลิกทำในที่สุด แต่พอเรายื่นมือเข้าไปช่วย เห็นได้เลยว่าทุกคนเหมือนมีความหวังขึ้นมา เห็นทางว่ามันยังไปต่อได้ และให้ความร่วมมืออย่างดีเพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น"เช่นเดียวกับที่พวกเธอเข้าไปเสนอทางเลือกให้กลุ่มรองเท้าหนังแท้ ทั้งเรื่องการสร้างแบรนด์ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ การทำฐานข้อมูลลูกค้า จัดแต่งหน้าร้านเสียใหม่ และลองใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์ ซึ่งทางกลุ่มก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ด้วยการปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสร้างโอกาสให้กับผลิตภัณฑ์มากขึ้นในที่สุด
ผลพลอยได้ที่ตามมาหลังการเข้าทำกิจกรรม คือมองเห็นโอกาสในธุรกิจ น้องๆ บอกว่า คิดกันขนาดที่จะต่อยอดมาทำกิจการของตัวเอง โดยนำผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านมาปรับให้เข้ากับวิถีผู้บริโภคยุคปัจจุบัน รวมถึงการเปิดหน้าร้านในห้างสรรพสินค้าเพื่อขายสินค้าโอท็อป กระทั่งการทำหน้าร้านออนไลน์ นำเสนอสินค้าภูมิปัญญาไทย ให้กับคนทั่วโลก สนับสนุนผู้ประกอบการไทยอีกทางด้วย
กับผลงานที่ฝากไว้หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ทั้ง ขนมทองม้วนในลุคใหม่ กระยาสารทที่กลายมาเป็นขนมทานเล่น ขิงผงสำเร็จรูป รองเท้าหนังแท้ที่กำลังกลายเป็นผลิตภัณฑ์มีแบรนด์ ตลอดจน ขนมชะมดงาดำ ของประดิษฐ์จากเครื่องเทศ กระทั่ง สบู่ถ่านสมุนไพร
7 โอท็อปมหัศจรรย์ที่พร้อมสยายปีกอย่างงดงามต่อไปในวันนี้
พลิกโมเดล 7 wonders OTOP
- เชื่อมความรู้การตลาด เข้ากับศักยภาพโอท็อป
- นิสิตทำงานใกล้ชิดชาวบ้าน รู้ปัญหาที่ต้นตอ
- ลงทุนให้น้อย ใช้ไอเดียให้มาก
- คิดง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ชัดเจน และเห็นผล
สามารถคลิกที่นี่เพื่อดู หน้าตีพิมพ์ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (BizWeek) ฉบับวันที่ 23 มีนาคม 2552 (ปีที่ 4 ฉบับที่ 249) หน้า 4
ป้ายกำกับ:
กรุงเทพธุรกิจ,
ปทุมธานี,
ม.หอการค้าไทย,
โอทอป,
IMC,
OTOP,
OTOP Thai Touch,
UTCC
ต่อยอดพัฒนาโอทอปปทุมธานี ม.หอการค้าไทยพลิกมิติเรียนรู้
เพิ่มเติมข่าวสารอัพเดดล่าสุดของมหกรรม OTOP Thai Touch: มิติสัมผัสตราสินค้าไทย ที่จบไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ตีพิมพ์ลงใน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360* รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2552 (ปีที่ 1 ฉบับที่ 15)
คลิกไปที่โลโก้ผู้จัดการ 360* ได้เลยครับ

คลิกไปที่โลโก้ผู้จัดการ 360* ได้เลยครับ

ป้ายกำกับ:
ปทุมธานี,
ผู้จัดการ,
ม.หอการค้าไทย,
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย,
โอทอป,
OTOP,
OTOP Thai Touch
05 เมษายน 2552
เมื่อ Webmaster ไปประชาสัมพันธ์งาน OTOP Thai Touch กับ ThinkCamp
หลังจากมหกรรม OTOP Thai Touch: มิติสัมผัสตราสินค้าไทย ได้จบไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมก็ได้ข่าวจาก อาจารย์ ดร. มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าจะมีการรวมตัวของเหล่า Webmaster เกิดขึ้น และมีรูปแบบที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากการประชุม และสัมมนาแบบอื่น ๆ ชื่อว่า "THINKCAMP: ค่ายความคิด สะกิดเว็บไทย"
เป็นการที่เหล่า Webmaster ที่มีชื่อเสียง อาทิเช่น คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ (MacroArt) จากสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย คุณชิตพงษ์ กิตตินราดร นักเขียนจาก Business Week และดาวรุ่งของเมืองไทยมากมาย ได้ร่วมกันกำหนดหัวข้อสัมมนากับผู้ร่วมรับฟังด้วยตัวเอง หรือที่ผมอาจจะเรียกง่าย ๆ ที่ไม่มีในตำราเรียนว่า "สัมมนา 2.0" ฟังดูอาจเหมือนกับ "Web 2.0" ที่ผู้ฟังต้องมีการ Interactive กับผู้ฟัง และให้ผู้ฟังกำหนดหัวข้อสัมมนาด้วยตนเอง ผ่านสไลด์จำนวน 10 แผ่น และมีกำหนดเวลาให้สไลด์ละ 1 นาที ที่ได้ดัดแปลงมาจาก "pechakucha (เพ็ชชะ คู้ชชะ)" ซึ่งการพรีเซนต์แบบนี้มันบีบหัวใจจริง ๆ ครับ จะว่าสนุกแก่ผู้ฟังก็ว่าได้ และตื่นเต้นสำหรับผู้พูดน่าดูเลยเชียว
ครั้งนี้ก็ได้นำมหกรรม OTOP Thai Touch: มิติสัมผัสตราสินค้าไทย ที่ได้จัดผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เข้าไปร่วมนำเสนอในฐานะผู้ใช้งานจากสื่อใหม่จากยุค Social Network ครั้งนี้ด้วยครับที่มีการผสมผสานระหว่างสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) และสื่อใหม่ (New Media) แต่จะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้จากที่นี่เลยครับ
ส่วน Slide Presentation ก็สามารถดูได้จากที่นี่ครับ
เป็นการที่เหล่า Webmaster ที่มีชื่อเสียง อาทิเช่น คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ (MacroArt) จากสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย คุณชิตพงษ์ กิตตินราดร นักเขียนจาก Business Week และดาวรุ่งของเมืองไทยมากมาย ได้ร่วมกันกำหนดหัวข้อสัมมนากับผู้ร่วมรับฟังด้วยตัวเอง หรือที่ผมอาจจะเรียกง่าย ๆ ที่ไม่มีในตำราเรียนว่า "สัมมนา 2.0" ฟังดูอาจเหมือนกับ "Web 2.0" ที่ผู้ฟังต้องมีการ Interactive กับผู้ฟัง และให้ผู้ฟังกำหนดหัวข้อสัมมนาด้วยตนเอง ผ่านสไลด์จำนวน 10 แผ่น และมีกำหนดเวลาให้สไลด์ละ 1 นาที ที่ได้ดัดแปลงมาจาก "pechakucha (เพ็ชชะ คู้ชชะ)" ซึ่งการพรีเซนต์แบบนี้มันบีบหัวใจจริง ๆ ครับ จะว่าสนุกแก่ผู้ฟังก็ว่าได้ และตื่นเต้นสำหรับผู้พูดน่าดูเลยเชียว
ครั้งนี้ก็ได้นำมหกรรม OTOP Thai Touch: มิติสัมผัสตราสินค้าไทย ที่ได้จัดผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เข้าไปร่วมนำเสนอในฐานะผู้ใช้งานจากสื่อใหม่จากยุค Social Network ครั้งนี้ด้วยครับที่มีการผสมผสานระหว่างสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) และสื่อใหม่ (New Media) แต่จะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้จากที่นี่เลยครับ
ส่วน Slide Presentation ก็สามารถดูได้จากที่นี่ครับ
ป้ายกำกับ:
ม.หอการค้าไทย,
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย,
IMC,
OTOP Thai Touch,
ThinkCamp,
Webmaster
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


